GenDHL
26
0
แม้ว่ากระแสสนับสนุนความหลากหลายทางเพศหรือ LGBTQ+ ในสหรัฐฯ และหลายประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ที่มลรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกากลับสวนทาง เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา รอน เดอซานติส (Ron Desantis) ผู้ว่าการรัฐฟลอริดาจากพรรครีพับลิกัน ลงนามรับรองกฎหมายที่ชื่อว่า ’สิทธิของผู้ปกครองในการศึกษา’ ซึ่งเป็นกฎหมายห้ามพูดถึงผู้มีความหลากหลายทางเพศในห้องเรียน โดยผู้ต่อต้านหรือคัดค้านเรียกกฎหมายฉบับนี้ว่า กฎหมาย ‘ห้ามพูดว่าเกย์’ (Don’t Say Gay)
กฎหมายดังกล่าวระบุว่า ไม่อนุญาตให้เขตการศึกษาส่งเสริมการเรียนการสอน หรือการอภิปรายในห้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องเพศวิถี และเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศในห้องเรียน ตั้งแต่ชั้นอนุบาล 3 ไปถึง Grade 3 หรือชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และชั้นที่โตกว่าจะต้องสอนเนื้อหาที่เหมาะสมกับวัย หากผู้ปกครองพบว่ามีการละเมิดและไม่เหมาะสม สามารถฟ้องร้องเขตการศึกษาได้
แม้ว่ากฎหมายฉบับนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางทั้งฝ่ายเคลื่อนไหวเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ สิทธิมนุษยชน รวมไปถึงดาราและผู้มีชื่อเสียงต่างๆ จนเกิดแคมเปญที่นักเรียนหลายโรงเรียนในรัฐฟลอริดาออกมาลงถนนต่อต้าน ในชื่อแคมเปญว่า ‘พวกเราจะพูดคำว่าเกย์’ (We Say Gay) แต่ท้ายที่สุดกฎหมายฉบับนี้ก็ผ่านการรับรองและจะมีการบังคับใช้ในวันที่ 1 กันยายนที่จะถึงนี้
บัท ฮานลีย์ (But Hanley) นักจิตวิทยาเด็กกล่าวว่า กฎหมายที่ตีตราความหลากหลายทางเพศนั้น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเด็กที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งปกติเด็กเหล่านี้มีแนวโน้มและความเสี่ยงถูกรังแก และการฆ่าตัวตายมากกว่าเด็กเพศหญิงและเพศชายมากอยู่แล้ว
ลอรา แอนเดอร์สัน (Laura Anderson) นักจิตวิทยาเด็กและครอบครัว ผู้สนใจเรื่องความหลากหลายทางเพศกล่าวว่า เราทุกคนล้วนมีกระบวนการในการค้นหาว่าตัวเองเป็นใคร และรู้จักตัวเองได้ผ่านสมองและจิตใจว่า ท้ายที่สุดแล้วเราอยากเป็นใครและเป็นเพศไหน หรือแม้แต่ใคร หรือเพศใดก็ตามที่จะดึงดูดให้เราหลงรัก กฎหมายห้ามสอนเกี่ยวกับเรื่องความหลากหลายทางเพศเป็นกฎหมายและข้อห้ามที่จะเพิ่มเปอร์เซ็นต์ให้เด็กหาตัวเองไม่เจอและรู้สึกไร้ตัวตน สิ่งเหล่านี้ส่งผลเสียและไม่ปลอดภัยต่อเด็กอย่างมาก นอกจากนี้กฎหมายดังกล่าวยังเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยให้กับเด็กที่มีความหลากหลายทางเพศอีกด้วย
จากผลสำรวจขององค์กรป้องกันการฆ่าตัวตายของ LGBTQ+ อย่างเทรเวอร์ โปรเจกต์ (Trevor Project) พบว่า 2 ใน 3 ของ LGBTQ+ กล่าวว่าจากการอภิปรายเกี่ยวกับกฎหมาย ห้ามพูดคำว่าเกย์ ของภาครัฐ ส่งผลต่อสุขภาพจิตของพวกเขาเป็นอย่างมาก และศูนย์สำรวจความเท่าเทียมทางเพศของสหรัฐฯ ประจำปี 2558 ยังเปิดเผยว่า 40% ของทรานส์เจนเดอร์ พยายามฆ่าตัวตายมากกว่าประชาชนทั่วไปถึง 9 เท่า
สิ่งที่น่ากังวลคือ เด็กย่อมเห็นและตั้งคำถามต่อความหลากหลายทางเพศในชีวิตจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เช่นการเห็นคู่รักเกย์จับมือกัน การที่เด็กออกไปซื้อของนอกบ้านและเห็นคู่รักเพศต่างๆ สิ่งที่ไม่สามารถพูดคุยหรือถกเถียงในห้องเรียนได้ย่อมส่งผลให้เด็กคิดว่าพวกเขาก็ไม่สามารถพูดเรื่องเหล่านี้ในบ้านได้เช่นกัน และหากครอบครัวหรือพ่อแม่ยังคิดว่าประเด็นเรื่องเพศ LGBTQ+ ไม่เหมาะสมที่จะถูกพูดถึง เด็กก็จะซ่อนตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไว้ต่อไป
คุยกับ Gen AI